บ้านเราเมื่อวันวาน

หมายเหตุ  เรื่องนี้ปรับปรุงจากของเดิมที่เคยลงในวารสาร พสวท. ให้ดีขึ้นหรือเปล่าลองอ่านดู

สำหรับชายอกสามสอกอย่างเรา ๆ
คงจะรู้สึกตะหงิด ๆ  เมื่อมีกลุ่มนักเลงมาชี้หน้า มองตาร็อกแร็ก แล้วหันไปซุบซิบกัน
คงจะรู้สึกคลื่นเหียน คล้ายจะอาเจียร และขนลุกสยิวไปทั้งตัว  เมื่อพบว่าพวกมัน
ยื่นนิ้วก้อยให้เกี่ยว พร้อมทำตาหวานแสดงความสนใจ
อาจจะแก้สถานการณ์ได้ ถ้าคุณโป้งใส่หน้ามัน พร้อมอวดแหวนหมั้นในนิ้วนางของคุณ  
เพื่อหลอกว่าคุณมีคู่แล้ว
หรือไม่งั้นก็ยื่นนิ้วกลางใส่หน้ามัน กระดกสัก 3 ที แล้วกระโดดเตะก้านคออย่างต่อเนื่อง
และรวดเร็ว จนพวกมันตั้งตัวไม่ติด  แล้ววิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด
ไม่งั้นคุณก็จะถูกพวกมันรุมหยิกทึ้งจนเขียวไปทั้งตัว  ด้วยนิ้วทั้งห้า อันกรีดกราย
แสนจะน่าถีบ

ประเพณีการให้นิ้วกลางนี้ นับว่าใช้กันแพร่หลายมาก เกือบทุกมุมโลก
แต่คงไม่มีใครรู้หรอก ว่าแท้ที่จริงแล้ว "มันเป็นฝีมือคนไทย"
ซึ่งใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว !  น่าภาคภูมิใจจริง ๆ

ต้องท้าวความไปถึงคนไทยในสมัยแรก ๆ  ที่เพิ่งสร้างอาณาจักรได้ ก็ถูกตอแยจาก
อาณาจักรรอบข้างอย่างไม่ขาดสาย   จวบจนสมัยกรุงศรีอยุธยา เราก็เสียเอกราช
ครั้งแรกให้กับพม่า คู่สงครามตัวกั่นของเรา  ยังดีที่ไม่นานต่อมา เราก็สามารถกอบกู้
เอกราชคืนมาได้  ด้วยเหตุนี้ ต่อจากนั้นเราก็เกลียดพม่าเข้ากระดูกตูด
ทุกครั้งที่ชาวพม่ามาเที่ยวเมืองไทย  ก็จะถูกพวกเราหลอกให้ หลงทาง หลอกให้กินอาหารแพง ๆ 
นอนโรงแรมหรู ๆ  จนร้องให้ขี้มูกโป่ง หมดตัวกลับบ้านทุกทีไป

เมื่อใดที่พม่ายกทัพมาเทียบท่าตามหัวเมืองต่าง ๆ  ฝ่ายเราก็จะด่าว่าสาปแช่งต่าง ๆ นานา
ด้วยความเจ็บแค้น  ยิ่งรู้ว่ามันฟังไม่ออก ยิ่งเจ็บแค้นเป็นทวีคูณ  หลังจากใช้ปากพอหอมปากหอมคอ
ก็ใช้กำลังเข้าฟาดฟันให้เกิดความบรรลัยแก่ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ใกล้มือใกล้เท้าอย่างโหดเหี้ยม 
เพื่อเป็นการระบายออกความเครียดแค้น  แล้วจึงยกทัพเข้าห้ำหั่นเนื้อบนเขียงอย่างบ้าระห่ำ 
เพื่อทำอาหารสำหรับกินในสมรภูมิ

นับวัน ๆ ก็นับได้หลายวัน จนเบื่อที่จะนับ  ก็ถึงวันเอาจริงกันเสียที   ตอนนี้ทหารฝ่าย
เราก็จะจัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมสับ(ชื่อย่อของหมูสับคั่วเค็ม ๆ)(ไม่นิยม
อาหารกระป๋อง เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีใครประดิษฐ์เครื่องเปิดกระป๋อง)  แล้ว
ก็ยกทัพเข้าจิ้มเจื๋อนกัน  ถ้าพลาดท่าก็ต้องหนีกลับมารวมกันใหม่  แต่ถ้าศึกประชิด
กันมาก ก็ต้องปลอมตัวเป็นนักข่าวสงคราม หรือยอมผ่าตัดแปลงเพศจะปลอดภัยที่สุด

รูปแบบการรบในช่วงต่อมาเริ่มแปรเปลี่ยนไป  พม่าหันมาใช้กระโปรงสี่แฉก คือ
ผ่าหน้า ผ่าหลัง ผ่าซ้ายและผ่าขวา  ซึ่งช่วยให้การรบของพม่ามีประสิทธิภาพดีขึ้นมาก
เนื่องจากมีการระบายอากาศตลอดเวลา  ทำให้รู้สึกแห้งสบาย ไร้กังวล  รวมทั้งรบกวนสมาธิฝ่าย
เราให้เผลอก้มต่ำด้วย  เนื่องจากพม่าผิวขาวเนียนมาก

แต่กรุงศรีอยุธยาก็ไม่สิ้นคนดี  นั่นคือ "กองพลสอย"  ซึ่งมีความถนัดในการใช้ดาบ
จู่โจมในระดับต่ำกว่าเอว  โดยดาบที่ใช้จะมีลักษณะเป็นตะขอที่ปลาย ซึ่งมีอนุภาพร้ายแรงมาก  
กล่าวคือในการจิ้มเข้าไปในจังหวะแรก  ถ้าทหารพม่าแกว่งหลบได้  ก็ยังมีโอกาส
ถูกสอยในจังหวะชักดาบกลับมาอีก  ในเวลารบจึงต้องติดเครื่องลดการได้ยินเสียงโหยหวน
ของทหารพม่า  เพราะอาจทำให้เกิดความสงสารอย่างสุดขั้วหัวใจ  เหล่าทหารพม่าต้อง
งอตัวรบกันถ้วนหน้า  จนเป็นรองฝ่ายเราอยู่พักใหญ่

ต่อมาพม่าจึงเปลี่ยนจากกระโปรงสี่แฉกมาเป็นโสร่งเสริมใยเหล็ก ซึ่งผ่าเพียงด้านข้าง  
การรบจึงกลับมาคู่คี่กันอีกครั้ง

ด้วยกลโกงของพม่าสารพัดรูปแบบ  นับตั้งแต่กัดหู จิกผม ใช้เล็บข่วน ด่าแม่ และส่งไส้ศึก
(ไส้ต้มใส่ยาพิษซึ่งคัดมาอย่างดี)มาให้ทหารเรากิน  แต่ทหารเราก็ไม่อยากขัดน้ำใจ  
เลยท้องเสียไปตาม ๆ กัน  จะว่าโง่หรือตะกละก็ถูกหมด   บางทีก็แอบอัดเทป แอบถ่ายรูป 
แอบดักฟังโทรศัพท์ เอามาข่มขู่กันเรื่อยเลย  โดยเฉพาะแอบจิต ทำให้ทหารไทยนอนไมหลับ
ผวาเสียวบั้นท้ายไปทั้งกองทัพ

ความโกรธแค้นที่สุมอยู่ในอกของฝ่ายเรา  ทำให้การรบเป็นระบบมากขึ้น เพื่อปราม
พม่าให้อยู่หมัด(อยู่ดาบ)  โดยเริ่มจากแม่ทัพวิ่งนำหน้าไป  ถ้าไม่เหยียบขี้หรือเหยียบกับระเบิด
ที่ทหารพม่าปล่อยทิ้งไว้ตามชายป่าเสียก่อน  ก็จะเคาะพันท้ายดาบ 2 ครั้ง  ชูมือขึ้นเหนือหัว
ถอดหมวกออก เกาขี้กลากกลางกบาล 3 ที  ตีลังกา 10 รอบ  ปั่นจิ้งหรีด 50
วิดพื้น 100  แทงปลาไหล 2,000  แล้วก็จะมีทหารพยาบาลวิ่งตามไปรุมกระทืบ
อีกประมาณครึ่งชั่วโมง จนแม่ทัพเครื่องร้อน  ก็จะลุกขึ้น กระโดดเตะต้นไม้รอบ ๆ ตัวข่มขู่พม่า  
จนหน้าแข้งบวมตุ่ยทั้งสองข้าง   เหล่าทหารพยาบาลก็จะเข้าแถวตอนเรียงตามลำดับไหล่ 
จากไหล่กว้างไปไหล่แคบ  เป่ายิ้งฉุบกับแม่ทัพทีละคน  ถ้าแม่ทัพเป่ายิ้งฉุบแพ้ 
ก็จะต้องเริ่มพิธีกันใหม่ เพราะถือเป็นลางไม่ดี   จนกระทั่งแม่ทัพเป่ายิ้งฉุบชนะทหารพยาบาลทุกคน 
ก็จะเรียกทหารทั้งหมดเข้าแถวหน้ากระดาน หันหน้าไปทางพม่า แล้วชี้หน้าด่าพม่าอย่างพร้อมเพรียง 
3 จบ  ท่าชี้หน้าด่าพม่านั้นเป็นท่าที่ละเอียดอ่อนมาก ต้องทำให้สง่าน่าเกรงขาม ดูเป็นจริงเป็นจัง  
มือที่ใช้จะไม่ใช้มือซ้าย เพราะถือโล่ บังพุงกะทิไว้ เพื่อลดความอุจาดตา  จึงต้องใช้มือขวา  
แต่การมีดาบอยู่ในมือ ทำให้ต้องกำหนดระเบียบขึ้นมา  โดยเริ่มจากเหยียดแขนตรง 
ชูกำปั้นไปที่พม่า ปลายดาบชี้ขึ้นฟ้า  ส่วนนิ้วที่ใช้ก็ต้องพิจารณามากเป็นพิเศษ  คือถ้าใช้นิ้วโป้ง 
ก็จะเห็นไม่ถนัด  นิ้วก้อยก็เล็กไป ไม่ถึงใจ  นิ้วนางก็จะพานิ้วข้าง ๆ ออกไปด้วย ทำให้กำดาบ
ไม่แน่น  นิ้วชี้ก็เช่นกัน จะทำให้ดาบโยกเยกไปมา อาจเกิดอันตรายแก่เพื่อนข้างเคียง  
จึงต้องใช้นิ้วกลาง ซึ่งใหญ่ ยาว เนื้อแน่น สะใจ และไม่ทำให้ดาบโอนเอน

จนกระทั่งวันที่พม่าเริ่มใช้ปืนในการรบ  ระบบการรบแบบนี้ของเราจึงเลิกไปเป็นปลิดทิ้ง
ทิ้งไว้เพียงความทรงจำของพ่อค้าชาวยุโรปที่มาเห็นการชี้หน้าด่าแบบนี้  เห็นภาพทหารเข้าแถว
หน้ากระดานยาวเหยียด กำดาบตะหง่าน หน้าตาขึงขัง ท่วงท่าสง่างามมาก เป็นที่ประทับใจ  
จนนำการชี้หน้าด่าด้วยนิ้วกลางไปใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก  จนวนกลับเข้ามาในประเทศไทย
อีกครั้งหนึ่งนั่นเอง